
สิ่งต้องรู้เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุ
ไม่ว่าใครคงไม่อยากให้มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับสมาชิกภายในครอบครัว แต่อย่างที่เราจำเป็นต้องยอมรับว่าผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามธรรมชาติ บางทีปัญหาอาจเกิดมาจากต้นเหตุเรื่องเล็กๆ แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ เช่น หากคุณย่าเผลอเดินสะดุดหกล้มกระแทกพื้นจนกระดูกสะโพกหัก ต้องนอนเจ็บเดินไม่ได้เป็นเดือนๆ หรือคุณยายหลอดเลือดสมองอุดตันเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแบบปัจจุบันทันด่วน เหตุเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาซึ่งจำเป็นที่ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดต้องเข้ามาจัดการดูแล ดังนั้นการเตรียมตัวเรียนรู้เพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆที่ไม่คาดคิดไว้บ้างจะมีประโยชน์เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาฉุกเฉินจะได้รู้ว่าควรจะจัดการอะไรอย่างไร
สิ่งที่จำเป็นต้องทำสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ
* อันดับแรกที่คนใกล้ชิดกับผู้สูงอายุควรทราบก็คือ โรค และยาที่ผู้สูงอายุใช้เป็นประจำมีอะไรบ้าง ใช้ในขนาดเท่าไร ยาออกฤทธิ์อย่างไร ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงเป็นอย่างไรได้บ้าง ถ้าเมื่อไหร่ที่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ผู้ดูแลจำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงชื่อยาที่ใช้ประจำเพื่อประกอบการวินิจฉัย
* เอกสารสำคัญเกี่ยวกับตัวผู้สูงอายุ เช่น บัตรประชาชน สูติบัตร ทะเบียนบ้าน หลักฐานทางการเงิน ทรัพย์สินต่างๆ เอกสารประกันสังคม ประกันสุขภาพต่างๆ กรมธรรม์ประกันชีวิตของผู้สูงอายุประวัติการรักษาโรค ชื่อแพทย์ประจำตัวและที่ติดต่อ แม้ กระทั่งร้านยาที่ใช้เป็นประจำเหล่านี้ควรจัดรวบรวม หรือบันทึกไว้ในที่ปลอดภัยเป็นสัดส่วน สะดวกต่อการหยิบใช้ในกรณีที่จำเป็น
* หากผู้สูงอายุมีอาการผิดปกติอื่นๆ อย่างเช่น มองไม่ชัด หูไม่ได้ยิน สูญเสียความทรงจำ สับสน ซึมเศร้า หลายๆ อาการเหล่านี้ยังพอรรักษาให้กลับคืนมาดีขึ้นได้จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาเฉพาะทาง
* ทำรายการวันนัด และบันทึกผลการตรวจ เช่น การทำเอกซเรย์ CT Scans หรือ MRl Scan แต่ละครั้งเพื่อเตือนความจำ
* ควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคและอาการที่ผู้สูงอายุท่านนั้นเป็น โดยอาจหาได้จากหนังสือ นิตยสารสุขภาพ เอกสารของโรงพยาบาล และแหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ ที่เชื่อถือได้
* ติดต่อหน่วยงานที่อาจให้การช่วยเหลือได้ เช่นสำนักงานประกันสังคม ประกันสุขภาพ หรือแม้กระทั่งสถานพยาบาลผู้สูงอายุ ที่อาจให้คำแนะนำในการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสม และหากได้รับคำแนะนำใดๆ ที่สำคัญมาจากไหนก็ตาม ควรจัดไว้ให้ชัดเจน ให้สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆได้รับรู้ร่วมกันด้วย
* ควรหาโอกาสพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ เพื่อขอความร่วมมือและความคิดเห็นในการร่วมกันดูแลผู้สูงอายุร่วมกันตั้งแต่แรก ยิ่งเร็วที่สุดยิ่งดี และจัดแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละคนในการจัดการเรื่องต่างๆ
* ในกรณีที่ผู้สูงอายุไม่มีลูกหลาน คนใกล้ชิดควรรู้จักเพื่อนหรือญาติสนิทของผู้สูงอายุเพื่อเป็นที่ขอคำปรึกษาหรือสอบถามประวัติรวมทั้งรู้จักคนที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบดูแล ทั้งด้านส่วนตัวและด้านการเงิน
* ควรพูดคุยกับผู้ดูแลด้านกฎหมายของผู้สูงอายุ เช่น ทนายความประจำครอบครัว (ถ้ามี) หรือผู้ดูแลธุรกิจ หากในกรณีที่ผู้สูงอายุท่านนั้นต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพจะมีใครจัดการทรัพย์สิน มรดก หรือตัดสินใจในการอนุญาตการรักษา ตัวผู้สูงอายุเองได้แสดงเจตจำนงอย่างไรก่อนหน้านั้นเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในบั้นปลายชีวิตไว้บ้าง
* ในกรณีที่ลูกหลานไม่สามารถทิ้งงานมาดูแลผู้สูงอายุในชีวิตประจำวันได้จริงๆอาจต้องพิจารณาหาผู้ช่วยในการดูแล สามารถทำได้โดยการว่าจ้างตามหน่วยงานที่มีการฝึกเจ้าหน้าที่พยาบาลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ซึ่งตัวลูกหลานผู้ใกล้ชิดต้องคอยสังเกตการทำงานและควบคุมดูแลใกล้ชิด
* อย่าลืมพุดคุยกับตัวผู้สูงอายุบ่อยๆ ให้ท่านอุ่นใจว่าลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ คอยดูแลและเปิดโอกาสให้ท่านได้คิด ตัดสินใจในเรื่องต่างๆร่วมกันด้วยถ้ายังสามารถทำได้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้การดูแลท่านเหล่านั้นในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
การเตรียมตัวและตั้งสติรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับเรื่องยุ่งยากทั้งหลายได้รวดเร็วขึ้น และสามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ